ทานยาอย่างไรให้ไม่ทำร้ายไตของเรา

หลายๆคนคงพอทราบดีอยู่แล้วว่า การรับประทานยาต่อเนื่องจะส่งผลเสียต่อไต ถึงแม้จะมีการอ้างสรรพคุณว่าไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย ในความเป็นจริงยาเหล่านี้จะถูกสะสมอยู่ในร่างกาย และอวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ “ไต” นั่นเอง วันนี้เรามีวิธีทานยาแบบไม่ทำร้ายไตมาฝาก

ใช้ยาอย่างไรไม่ทำร้ายไต 

  1. ใช้ยาตามข้อบ่งชี้ หรือตามคำสั่งของแพทย์เท่านั้น หรือและควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง
  2. หลีกเลี่ยงการใช้ยาซ้ำซ้อน เพราะยาบางกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกัน ซึ่งการรับประทานร่วมกันไม่ช่วยเพิ่มผลในการรักษา แต่กลับเพิ่มผลเสียต่อผู้ป่วย ทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เป็นต้น
  3. นำยาที่ใช้ประจำติดตัวมาโรงพยาบาลทุกครั้งเมื่อเข้ารับบริการทางการแพทย์ และควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาที่ใช้ประจำทุกครั้ง เพื่อประกอบการพิจารณาการรักษาของแพทย์

ยาที่มีผลกับไตสูง 

1.ยาแก้ปวดลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาในกลุ่มนี้ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดข้อ ปวดหลัง ปวดกระดูก โดยกลุ่มยานี้จะยับยั้งการสร้างสาร โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ซึ่งสารนี้มีหน้าที่ช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดในไตให้เป็นปกติ หากใช้เป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้ 

2.ยาลูกกลอน สารโลหะหนัก และสเตียรอยด์ พบว่าในส่วนประกอบของยาลูกกลอนบางชนิดพบการเจือปนของสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ทองแดง ปรอท และสารจำพวกสเตียรอยด์เจือปน สารจะสะสมในร่างกายและมีพิษโดยตรงในการทำลายเนื้อเยื่อไต และก่อให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้

3.ยาปฏิชีวนะบางชนิด หรือยาฆ่าเชื้อ ต้องดื่มน้ำตามเยอะๆ หลังรับประทานยา อาจทำให้ยาเกิดการตกตะกอนและเป็นผลึกในท่อปัสสาวะได้ เช่น กลุ่มซัลฟา เป็นต้น

4.ยาละลายน้ำ ยาที่มีส่วนประกอบของโซเดียม ยาแอสไพรินชนิดเม็ดฟู่ วิตามิน A D E K ทำให้ร่างกายได้รับโซเดียม น้ำ และเกลือแร่เกินในร่างกาย

5.ยาลดกรด ยาระบาย ยาที่มีอะลูมิเนียมและแมกนีเซียม อาจทำให้เกิดการสะสมของเกลือแร่ในร่างกายเพราะไตไม่สามารถขับออกได้ตามปกติ 

6.ยาสวนทวาร ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกิดฟอสเฟตสะสมอยู่ภายในร่างกาย 

7.อาหารเสริม มีส่วนประกอบของโพแทสเซียมและแมกนีเซียมทำให้สะสมอยู่ภายในร่างกาย 

การรับประทานยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานานส่งผลเสียมากกว่าผลดี อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบไตได้โดยไม่รู้ตัว เพื่อความปลอดภัยจากการใช้ยาทุกประเภทควรปรึกษาแพทย์เภสัชกร และที่สำคัญผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาทานเองโดยเด็ดขาด