1.เลือกไดร์เป่าผมที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาความชุ่มชื้น
แนะนำให้เลือกเป็นไดร์เป่าผมที่มีเทคโนโลยีช่วยรักษาความชุ่มชื้นบนเส้นผม ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลาย เช่น
- ไดร์เป่าผม Ionic เป็นเทคโนโลยีช่วยปรับสภาพเส้นผมด้วยการปล่อยประจุไอออนลบ ช่วยลดไฟฟ้าสถิต ทำให้เส้นผมเรียบตรง ไม่ชี้ฟู และเงางามขึ้น
- ไดร์เป่าผม Ceramic เปลี่ยนความร้อนเป็นคลื่นอินฟาเรด ช่วยให้ผมแห้งไวขึ้น โดยไม่ทำร้ายเส้นผม ช่วยล็อคความชุ่มชื้นเอาไว้บนเส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้ผมไม่ชี้ฟู ทั้งยังช่วยคงวอลลุ่มสำหรับผมดัดลอน
2.เลือกไดร์เป่าผมที่ปรับอุณหภูมิได้
เส้นผมที่โดนความร้อนบ่อยๆ มีโอกาสที่จะแห้งกรอบและชี้ฟูมาขึ้น แต่ถ้าไม่ใช้ความร้อนเป่าให้ผมแห้ง ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดเชื้อราบนหนังศีรษะและทำให้เส้นผมอ่อนแอขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรเลือกไดร์เป่าผมลมร้อน ที่ปรับอุณหภูมิได้และมีความร้อนให้เลือกหลายระดับ จะช่วยลดปัญหาผมแห้งเสียชี้ฟูจากความร้อนได้
3.เลือกไดร์เป่าผมที่มีฟังก์ชันลมเย็น
นอกจากปรับอุณหภูมิได้แล้ว ควรเลือกไดร์เป่าผมที่มีฟังก์ชันลมเย็นติดมาด้วย เมื่อเป่าผมจากลมร้อนเสร็จ ให้สลับมาเป่าต่อด้วยลมเย็น เพื่อคลายความร้อนออกจากเส้นผม และปิดเกล็ดผม ผมลมเย็นช่วยให้ผมอยู่ทรงและทำให้เส้นผมนุ่มสลวยเป็นเงางามยิ่งขึ้น
4.เลือกกำลังไฟของไดร์เป่าผมให้พอเหมาะ
ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพเส้นผม เช่น
- ไดร์เป่าผมกำลังไฟ 1,200 วัตต์ เป็นไดร์เป่าผมสำหรับผมสั้น คนผมเส้นเล็ก และคนผมบาง
- ไดร์เป่าผมกำลังไฟ 1,300 – 1,800 วัตต์ กำลังดีสำหรับสภาพเส้นผมของคนส่วนใหญ่
- ไดร์เป่าผมกำลังไฟสูงกว่า 1,800 วัตต์ เหมาะเป็นไดร์เป่าผมสำหรับผมยาว เส้นใหญ่ ผมหนา หรือผมหยิก
5.น้ำหนักของไดร์เป่าผม
เลือกให้มีขนาดและน้ำหนักพอเหมาะ เอาเท่าที่ยกไหว จะใช้งานได้สะดวกมากกว่า ไดร์เป่าผมหนักๆ ยกลำบาก กว่าผมจะแห้งก็อาจจะทำให้เมื่อยแขนเมื่อยข้อมือ ส่วนใครที่เดินทางไกลบ่อยๆ ควรเลือกที่น้ำหนักเบาแล้ว ขนาดเล็ก
6.อุปกรณ์เสริมไดร์เป่าผม
อุปกรณ์เสริมไดร์เป่าผม มาในรูปแบบของหัวสำหรับใช้เปลี่ยนรูปแบบการเป่า ไดร์เป่าผมมืออาชีพบางรุ่นแถมหัวเปลี่ยนมาเป็นเซ็ตหลายอันเพื่อการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ไดร์เป่าผมที่มาพร้อมอุปกรณ์เสริม ใช้งานได้มากขึ้นก็จริง แต่ก็มาพร้อมราคาที่สูงขึ้นด้วย ก่อนซื้อก็อย่าลืมพิจารณาถึงความจำเป็นด้วยนะคะ